ซีอีโอ ‘ไทยศรีประกันภัย’ ส่งอีเมล์ถึงพนักงาน นัดประชุม Townhall Meeting วันที่ 3 พ.ย.65 หลังลงนามข้อตกลงเข้าซื้อกิจการ “นำสินประกันภัย” คาดปิดดีลจบกลางปี 66 ด้านวงในเผย “เกณฑ์กำกับ-มาตรฐานบัญชีใหม่-ขนาดธุรกิจ-ต้นทุนการแข่งขัน-ศักยภาพบุคลากร-เครือข่ายการทำธุรกิจ” ที่แตกต่างเป็นตัวแปร ต้องทบทวนตัวเองอย่างหนักว่า “จะไปต่อเอง-ควบรวม-หรือขายทิ้ง” มูลค่ามาร์เก็ตแคปล่าสุด 2,835 ล้านบาท

วันที่ 29 ตุลาคม 2565 ดร.ทิล เบอห์มาร์ (Dr. Till Böhmer) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยศรีประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ ThaiSri ERGO เปิดเผยว่า ได้ส่งอีเมล์ถึงเพื่อนร่วมงานบริษัทว่า บริษัทได้ลงนามในข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อกิจการของบริษัท นำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้เล่นขนาดกลางในตลาดประกันวินาศภัยไทย

โดยนำสินประกันภัยจะกลายเป็นส่วนสำคัญของบริษัทฯ และคาดว่าจะดำเนินการเข้าซื้อกิจการแล้วเสร็จภายในกลางปี ​​2566 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการอนุมัติด้านกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับดูแลและเงื่อนไขอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

บริษัทของเราทั้งสองมีความสมบูรณ์ในแง่ของพอร์ตผลิตภัณฑ์ และเราเชื่อมั่นว่านำสินประกันภัยจะช่วยให้เราปรับปรุงการแข่งขันของเราได้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งในตลาดและแผนธุรกิจสำหรับตลาดไทย

ทั้งนี้การทำธุรกรรมนี้จะทำให้พนักงานมีโอกาสที่ดีและจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อในงานที่ทำอยู่ในปัจจุบัน โดยผมขอถือโอกาสนี้เชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมประชุมพบปะทุกคนในองค์กร (Townhall Meeting) ในวันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน 2565 เวลา 16.30 น. เพื่อหารือเกี่ยวกับบทบาทใหม่ที่น่าตื่นเต้นของเรา และเพื่อตอบคำถามใด ๆ ที่พวกคุณอาจมี

สำหรับนำสินประกันภัย เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2491 และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ตั้งแต่ปี 2538 มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,600 ล้านบาท โดยมีพอร์ตการรับประกันภัยรถยนต์ (Motor) เป็นส่วนใหญ่หรือคิดเป็น 63% ของเบี้ยรับรวมทั้งบริษัทฯ

โดยงบการเงินล่าสุดสิ้นสุด 30 มิ.ย. 65 อ้างอิงข้อมูลในตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่า นำสินประกันภัยมีสินทรัพย์รวม 4,665.54 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 3,400.78 ล้านบาท มีรายได้รวม 1,367.61 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 57.13 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.11 บาท

ราคาหุ้นปิดตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 28 ต.ค.อยู่ที่ 204 บาท เปลี่ยนแปลง +1 บาท หรือปรับตัวบวก 0.49% เทียบจากราคาปิดวันก่อนหน้า โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด 2,835.60 ล้านบาท มีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (PE) ที่ 22.47 เท่า มีอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (PBV) ที่ 2.24 เท่า และมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 3.68%

ด้านแหล่งข่าววงในธุรกิจประกันภัย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เหตุผลที่นำสินประกันภัยตัดสินใจขายกิจการ คงเป็นเพราะด้วยกฎเกณฑ์การกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยที่มีความเข้มงวดมากขึ้นต่อไปในอนาคต ระบบการรายงานทางการเงินใหม่หรือระบบทางบัญชีตามมาตรฐานใหม่ ที่เรียกว่า IFRS17 ประกอบกับขนาดของธุรกิจและต้นทุนการแข่งขันที่ต่างกัน รวมไปถึงศักยภาพของบุคลากร และเครือข่ายการทำธุรกิจรวมถึงการแข่งขันทางการตลาดที่มีความเข้มข้นมากขึ้น เป็นต้น ซึ่งจะเป็นตัวแปรที่ทุก ๆ บริษัทที่มีขนาดเล็กเกินไป จะต้องพิจารณาทบทวนตัวเองอย่างหนักว่า จะไปต่อเอง จะควบรวม หรือจะขายทิ้ง

“เวลานี้ตลาดที่เป็นกลุ่มงานที่มีผลกำไรสูง (Profit Pools) เช่น การประกันภัยทรัพย์สินบ้านอยู่อาศัย การประกันขนส่งทางทะเลและโลจิสติกส์ ต่างอยู่ในมือของผู้เล่นรายใหญ่ ดังนั้นจึงเหลือเพียงตลาดที่มีมาร์จึ้นต่ำ (Low Margin Business) ที่มีการแข่งขันรุนแรงดุดันมากยิ่งขึ้น”

สำหรับการควบรวมในครั้งนี้จะทำให้ไทยศรีประกันภัย ขึ้นแท่นเป็นอันดับ 11 จากอันดับ 19 อ้างอิงข้อมูลตัวเลขเบี้ยประกันวินาศภัยทั้งระบบในปี 2564 โดยไทยศรีประกันภัย มีเบี้ย 4,238 ล้านบาท (อันดับ 19) และนำสินประกันภัย มีเบี้ย 2,650 ล้านบาท (อันดับ 28) รวมเบี้ยประกันภัยรับรวมอยู่ที่ 6,888 ล้านบาท (อันดับ 11) และคาดว่าปี 2566 คงขึ้นติดท็อป 10 อย่างแน่นอน