ผู้บริหารโบรกเกอร์ประกันภัยรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ตนเองในฐานะบริษัทโบรกเกอร์ที่ขายผลิตภัณฑ์ประกันโควิด-19 ที่ผ่านมาเป็นอันดับสามของบรรดาบริษัทนายหน้าฯหรือโบรกเกอร์ประกันภัย อยากจะส่งเสียงในฐานะคนกลางประกันภัย หรือมุมของคนขาย ถึงความเสียหายของธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย โดยก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า เชื้อไวรัสโควิด คือ เชื้อโรคที่ระบาดระดับโลก และเป็นภัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ดังนั้นการจะใช้สถิติประกันภัยเข้ามาวิเคราะห์ หรืออ้างอิงนั้นคงไม่ได้ และไม่มีประเทศใดในโลกขายแบบประกันตัวนี้ แต่โชคดีที่ประเทศไทยมีแบบประกันโควิดตัวนี้ออกมาขาย เพื่อช่วยให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้มีหลักประกันความคุ้มครองโรคดังกล่าวกัน ซึ่งปีที่แล้วต้องยอมรับว่า ประเทศไทยเราควบคุมการระบาดได้เป็นอย่างดี ทำให้ธุรกิจมีกำไรและสามารถเดินหน้าขายกันต่อในปีนี้ได้ แต่สำหรับปีนี้ สถานการณ์รุนแรงขึ้น และโชคไม่ดีที่ประเทศไทยเราควบคุมการระบาดของไวรัสโควิดได้ไม่ดีพอ ด้วยเหตุนี้ความเสียหายจึงเกิดขึ้นอย่างมหาศาล

       “ปีที่แล้วต้องยอมรับว่า ยอดสูงสุดเคยขายประกันโควิดได้ตกวันหนึ่ง 1 หมื่นฉบับในช่วงเดือนมี.ค.ปีที่แล้วที่มีอยู่ช่วงหนึ่ง คนซื้อเยอะมากจากข่าวการระบาดจากสนามมวย แต่พอมาปีนี้การซื้อประกันโควิดกลับมีมากมายมหาศาลกว่าปีที่แล้ว โดยเฉพาะจากข่าวคนในวงการบันเทิงทยอยเป็นโควิดช่วงเดือนเมษายน ทำให้ยอดขายสูงขึ้นไปเรื่อยๆ โดยโบรกเกอร์ผมมียอดขายวันหนึ่งสูงสุดขายได้ 4.5 หมื่นฉบับทีเดียว นับเป็นยอดขายสูงสุดจากที่ทำธุรกิจมา”

       ผู้บริหารฯ ยังกล่าวอีกว่า ตนเองมองว่า จากผลพวงของที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ช่วยประชาชนมาตั้งแต่เดือนเมษายน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการขยายความคุ้มครอง ไปยัง hospitel หรือรพ.สนาม ตลอดจน Home Isolation รวมถึงการออกมาตรการมากำกับบริษัทประกันให้มีการจ่ายสินไหมภายใน 15 วัน ซึ่งตามหลักการแล้วถือเป็นเรื่องที่ดีในการช่วยเหลือประชาชน และทำให้ประชาชนเห็นคุณค่าของประกัน แต่สืบเนื่องจากปัจจุบันการช่วยเหลือดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อยอดค่าใช้จ่ายสินไหมหรือเคลมของบริษัทประกันที่ต้องจ่ายนั้นกลับสูงขึ้นถึงประมาณ 800% จากเบี้ยฯรับทีเดียว ทั้งนี้เป็นผลมาจาก

       1. รพ.เรียกเก็บเงินค่ารักษาจากทางบริษัทประกัน แทนที่จะเบิกจากภาครัฐ
       2. การนอน Hospitel 14 วัน สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ เป็นค่าใช้จ่ายที่สูงเกินความคาดหมาย
       3. เงินชดเชยรายได้จากการนอน Hospitelหรือ รพ.สนาม โดยไม่มีการรักษา หรือดูแลเป็นพิเศษ
       4. การกำหนดระยะเวลาในการจ่ายเงินสินไหม 15 วัน ทำให้บริษัทประกันไม่สามารถตรวจสอบเอกสารได้ทัน
       5. กรณีของเอกสารปลอมจากการเคลมนั้นมีปริมาณที่สูงมาก แต่บริษัทประกันยังไม่มีเวลาไปจัดการ เพราะต้องเร่งทำการจ่ายเคลมให้ทันตามที่คปภ.กำหนด มิฉะนั้นแล้วอาจจะโดนโทษประวิงการจ่ายสินไหมเกิดขึ้นได้
       6. เดิมทีแต่ละบริษัทมีพนักงาน 10-20 คนทำเรื่องเคลมสินไหม แต่ปัจจุบันสืบเนื่องจากปริมาณงานเคลมสูงขึ้นกว่าหลายร้อยเท่าต่อวัน จึงทำให้กำลังคนไม่เพียงพอ บางบริษัทต้องเพิ่มคนถึงหลายร้อยคนเพื่อมาช่วยทำเคลมให้เสร็จ ซึ่งการเร่งทำให้เสร็จนั้น ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดข้อผิดพลาดในการจ่ายสินไหมขึ้นได้

       ผู้บริหารฯ กล่าวว่า จากประกาศภาครัฐที่จะคลายล็อคดาวน์นั้น ประกอบกับขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เข้ารับการรักษาลดลงอย่างเห็นได้ชัด ตนเองจึงอยากจะขอนำเสนอแนวทางให้คปภ.พิจารณา เพื่อให้ธุรกิจประกันภัยอยู่รอดและสามารถดูแลสินไหมตามความคุ้มครองทุกฉบับ ดังนี้ ได้แก่

       1.พิจารณาเงื่อนไขความคุ้มครองกรมธรรม์ให้อยู่ในรูปแบบปกติดังเดิม ไม่ขยายความคุ้มครองไปถึง Hospitel หรือรพ.สนาม และ Home Isolation ทั้งนี้เพื่อให้บริษัทประกันสามารถตรวจสอบเคลมได้ และลดค่าสินไหมที่เกินจากการประมาณการ
       2.เสนอให้มีการจัดทำข้อมูลการเคลมเชื่อมกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อประโยชน์ในการเช็คสถานะผู้ป่วยโควิด และเพิ่มความรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำขึ้นในการทำเคลม
       3.พิจารณาขยายระยะเวลาในการจ่ายสินไหม ในกรณีที่มีข้อสงสัย หรือไม่พบข้อมูลการติดเชื้อจากหน่วยงานรัฐ ควรจะมีระยะเวลาในการจ่ายเคลมไม่เกิน 90 วัน เหมือนเช่นเดียวกับกรณีบริษัทประกันชีวิตดำเนินการอยู่ในเวลานี้
       4.ขอความช่วยเหลือจากภาครัฐสนับสนุนเงินทุนช่วยเหลือบริษัทประกันภัยที่ขาดทุนจากรับประกันโควิดในครั้งนี้
       5.ลงโทษผู้ที่ฉ้อโกงในการเคลมประกันโควิดครั้งนี้ให้ถึงที่สุด

        “ที่ผ่านมาตัวแทนนายหน้าและบริษัทประกันทุกคนตั้งใจ ทุ่มเทในการให้บริการช่วยเหลือลูกค้าโดยไม่มีข้อจำกัดทางด้านเวลา หลายบริษัทสูญเสียพนักงานไปเพราะเป็นงานที่หนักและกดดันมากๆ ลูกค้าล้วนมีข้อสงสัยต่างๆ มากมาย แม้เบี้ยประกันโควิดที่ขายเบี้ยเพียงหลักร้อย โดยเริ่มต้นที่ 99 บาท จนถึง 500 บาทเท่านั้น แต่ทุกคนก็ยินดีให้บริการเต็มที่ เพื่อให้สมกับการทำหน้าที่คนกลางประกันภัยและอาชีพคนขายประกันภัยที่เรารัก ที่ออกมาส่งเสียงในฐานะคนกลางประกันภัยครั้งนี้ ก็เพียงเพราะอยากให้มีทางออกที่ดีอยู่รอดสำหรับทุกฝ่าย ให้ลูกค้าได้รับความคุ้มครองตามสัญญา บริษัทประกันภัยดำเนินธุรกิจได้ไม่ต้องปิดกิจการ นายหน้าช่วยทำหน้าที่ดูแลรักษาผลประโยชน์ให้ลูกค้า และ คปภ.ช่วยให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย”ผู้บริหารโบรกเกอร์ กล่าวทิ้งท้าย